เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ก.ย. ๒๕๖๑

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๑

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมมันเป็นของที่ละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งขนาดไหนมันต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมีมีปัญญาจะรื้อค้นสิ่งนั้นเข้ามาสู่ใจของเรา ถ้าใจของเรามันมีสิ่งนั้นคุ้มครองดูแลอยู่แล้ว เราจะมีความสุขของเรา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆ กษัตริย์สมัยพุทธกาลมาบวช “สุขหนอๆ” น่ะ คนที่เขาสุขหนอๆ ได้ เขามีอำนาจวาสนาเป็นกษัตริย์ มีทรัพย์สมบัติขนาดนั้นน่ะ แต่เวลาเขามาอยู่โคนไม้เขาบอกมีความสุขๆๆ

แต่พวกเราดัดจริต “มีความสุขๆ” มีความสุขวิ่งอย่างกับหมาบ้า มีความสุขมันไม่เป็นอย่างนั้น เขามีความสุขนะ เขาสุขสงบระงับตามความเป็นจริงของเขา ความสุขไม่ต้องอวด ไม่ต้องประกาศบอกใครว่าฉันมีความสุข ความสุขมันทำให้คนคนนั้นสงบระงับ อยู่ในที่สงบระงับอันนั้นได้ แต่บอกว่าฉันมีความสุขๆ แต่ฉันวิ่งเหมือนหมาบ้า มันไม่ใช่คนมีความสุขหรอก มันเป็นหมาบ้า เพราะวัคซีนมันไม่มีคุณภาพ หมาบ้าหมดเลย ไปกัดคน คนก็บ้าเข้าไปอีก เห็นไหม

แต่ถ้ามีความสุข ความสุขจริงน่ะไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ ให้สังคมเขาตรวจสอบ สังคมเขารู้เขาเห็นทั้งนั้นน่ะ กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมอยู่ที่การกระทำของเรา ใครจะเสียดสีใครจะป้ายสีอย่างไรมันเรื่องของเขา มันมีอยู่แล้วน่ะคนที่ป้ายสี คนที่พยายามตีไข่ใส่สีน่ะมันมีของมันธรรมชาติของมัน เพราะธรรมชาติของมัน ในสังคมทุกสังคมมีคนดีและคนชั่ว ไอ้คนชั่วเห็นใครดีเกินหน้าของตนก็ไม่ได้ แต่ถ้าคนเป็นคนดีนะ คนดีเขาส่งเสริม ส่งเสริมบูชา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องข่มขี่คนที่หน้าด้าน คนที่มีคุณงามความดีต้องเชิดชูบูชาเขา ยกย่องบูชาสรรเสริญคนที่เป็นคนดี แต่คนที่ไม่ดีต้องกดมัน นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่สังคมไม่มีใครกล้าทำ เห็นคนมีเงินมาน่ะยกมือป้อๆ เลย ก็บอกให้กดมันๆ ยกมือไหว้ป้อเลยนะ นี่กดมัน กดมันตรงไหน นี่ไง มันอ่อนแอทางศีลธรรม

แต่ถ้ามันเข้มแข็งทางศีลธรรมนะ ถ้ามันเข้มแข็ง เข้มแข็งทางศีลธรรม เห็นไหม คนชั่วก็คือคนชั่ว คนดีก็คือคนดี คนดีก็เป็นคนดีวันยังค่ำ อยู่ที่ไหนก็เป็นคนดีของเขา แต่มันจะเป็นความชั่วเพราะความผิดพลาดที่ในสายตาเรามองไม่ออกไง เรามองเห็นคนดีเป็นคนชั่ว เห็นคนชั่วเป็นคนดีไง นี่มันไม่ใช่ว่าความดีความชั่วของเขา มันเป็นเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันปิดหูปิดตาของเรา เราก็มองไม่ออก มองไม่รู้ว่าสิ่งใดเป็นดีและชั่ว หรือกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรามีผลประโยชน์ พอมีผลประโยชน์ขึ้นมา คนนั้นให้ผลประโยชน์เราว่าเป็นความดีๆ ความดีเพราะผลประโยชน์ ความดีเพราะการจ้างวานไง ความดีเพราะแจกตังค์ ถ้าแจกตังค์มันเป็นคนดีๆ มันดีต่อหน้าตอนรับตังค์ ลับหลังมันก็ด่า โง่ตายห่าเลยแจกตังค์

แต่ความดี ความดีของเรา นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนความจริงอย่างนี้ ถ้าสอนความจริงอย่างนี้ เราพยายามทำของเรา ถ้าทำของเรา

ศาสนาแรกของโลกคือศาสนาถือผี ถือผีถือสางคือการอ้อนวอนเอา คนเรามันมีเวรมีกรรมมาทุกคนน่ะ คนที่ทำบุญกุศลมาของเขา เขาทำสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จของเขา คนที่ทำบาปอกุศลมาทำสิ่งใดแล้วก็ขาดตกบกพร่องเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดา เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เชื่อกรรมเชื่อการกระทำ ถ้าเชื่อกรรมเชื่อการกระทำแล้วเราก็จะมาพัฒนาใจของเรา

คนที่มั่งมีศรีสุข คนที่ประสบความสำเร็จได้เขาต้องขยันหมั่นเพียรของเขา เขาต้องมีสติปัญญาของเขา แต่ถ้าทำบุญกุศลแล้วจะสมความปรารถนาๆ มันเป็นการประชาสัมพันธ์ทั้งนั้นน่ะ ไอ้สมความปรารถนาๆ ถ้าทุกคนทำให้คนร่ำรวยได้ก็ตั้งเขาให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังก็จบสิ้นไง ประเทศไทยจะได้ร่ำรวยมหาศาลไง มันเป็นไปไม่ได้

ชาติไหนถ้าชาติเขาเข้มแข็ง เศรษฐกิจเขาเข้มแข็ง เขาจะมีธนาคารชาติ ธนาคารชาติขึ้นมาเพื่อคุ้มครองดูแลเศรษฐกิจของเขา ถ้าชาติไหนอ่อนแอ ชาติไหนที่ไม่มีกำลังนะ ธนาคารชาติเขาก็คุ้มครองเศรษฐกิจของเขาไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเงินที่แท้จริง เงินธนาคารชาติ เงินบาทที่มีค่าตามราคาของมัน ที่ไหนเขาต้องการทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าเป็นเงินปลอม เงินที่เขาพิมพ์เลียนแบบ เงินที่พิมพ์เลียนแบบ คนที่พิมพ์เลียนแบบมาเขาก็มีโทษของเขา พิมพ์เลียนแบบมาแล้วเขาต้องมาใช้ในที่มืดๆ ไปใช้ที่คนมากๆ ไปใช้ตอนคนที่มันวุ่นวาย เขาไม่กล้าใช้ของเขาด้วยความอาจหาญ

แต่ถ้าคนที่เขามีเงินแท้ เงินใช้หนี้ได้ตามกฎหมาย เขาจะใช้ที่ไหนก็ได้ เขาจะจ่ายที่ไหนก็ได้ เขาจะซื้อของอย่างไรก็ได้ เขาทำอย่างไรก็ได้ด้วยความเปิดเผย ไอ้เงินปลอมนี่นะ เขาจะไปใช้ตอนคนเยอะๆ ตอนกำลังสลัวๆ ตอนกำลังยุ่งๆ เพราะมันรู้ว่าของมันปลอม มันไม่กล้าเผชิญหน้าอะไรทั้งสิ้น มันหลบๆ หลีกๆ ทั้งนั้น มันไม่กล้าเผชิญความจริงอะไรเลย คอยแต่อาศัยเกาะเขาไป

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ความจริงมันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมา เวลาความจริงขึ้นมา เวลาการกระทำ คนเราถ้าเงินที่มันมีคุณค่า เพราะชาติมั่นคง เศรษฐกิจมั่นคง การเมืองมั่นคง เงินของเขานี่มีคุณค่ามาก เป็นชาติที่พัฒนาแล้ว

ไอ้ชาติที่อ่อนแอ ชาติที่เศรษฐกิจก็ล้มเหลว ประชากรก็ความเป็นอยู่ใช้ไม่ได้ นั่นน่ะไม่มีใครเขาไปสนใจเลย ไม่มีใครเขาไปสนใจ แต่เวลาทำขึ้นมาๆ เวลาเป็นความจริงๆ ขึ้นมาจากชาติ จากชาติ จากสังคม จากสิ่งที่มั่นคง มันไม่ใช่จากการพิมพ์แบงก์นั่นหรอก

ไอ้การพิมพ์แบงก์ๆ ธนาคารชาติเขาเป็นผู้มีหน้าที่พิมพ์ของเขา ไอ้เราศึกษาขึ้นมาเราก็จะไปพิมพ์ๆ อย่างนั้นน่ะ มันพิมพ์ไม่ได้ การจะได้เงินนั้นมาต้องทำหน้าที่การงาน ต้องมีธุรกิจของเรา ถ้าเราทำธุรกิจของเรา กำไรขาดทุนนั้นมันถึงจะเป็นเงินจริงและเงินปลอมนั้นมา

เราไม่ทำสิ่งใดเลย เห็นว่าเขามีเงินกันก็ไปพิมพ์แบงก์กันเลย ฉันพิมพ์เอง เพิ่งออกมาจากแท่นพิมพ์เมื่อกี้นี้ ฉันพิมพ์ของฉันเอง...ไม่มีค่าทางกฎหมาย ผิดกฎหมายอาญา ผิดไปทั้งนั้นน่ะ

แล้วเวลาการกระทำๆ เห็นไหม คนทำหน้าที่การงานของเรา สิ่งที่ได้มา ได้มาด้วยความเป็นธรรม ด้วยความเป็นธรรม ด้วยความสุจริต ด้วยความสุจริตธรรมาภิบาล สิ่งนั้นมีคุณค่าๆ สิ่งใดที่ทำมาด้วยทุจริต ทำมาด้วยทุจริต ทำมาด้วยการคดโกง สิ่งที่ได้มาก็เป็นเงินแท้เหมือนกัน แต่เงินแท้นั้นเราคดโกงมา มันมามันก็เข้ากับมิจฉาสัมมานี่แหละ ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม เราทำให้ถูกต้องดีงามขึ้นมามันก็จะเป็นความชอบธรรม

นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วคนอื่นเขามีธรรมเหมือนกัน ธรรมเหมือนกันแต่ไม่ชอบ

อย่างน้อยนะ พวกเราสาวกสาวกะได้ยินได้ฟัง ถ้าทำให้เป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นคุณธรรมจริง ถ้ามันไม่จริงๆ ไม่จริงขึ้นมา ไม่จริงขึ้นมามันถึงมีกฎหมายไง มีธรรมวินัยมาบังคับใช้ไง บังคับใช้เพราะอะไร บังคับใช้กับคนหน้าด้าน ไอ้คนหน้าด้านน่ะนะมันหน้าด้านตั้งแต่ต้น กิเลสมันด้าน มันด้านเต็มที่เลย

แต่ถ้าเป็นธรรมะมันมีความเกรงกลัวละอายต่อบาป มีหิริโอตัปปะ มีความเกรงกลัว มีความละอาย คนนั้นมีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัตินะ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ จิตใจเรากระชุ่มกระชวย จิตใจเรากระชุ่มกระชวยมากนะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา โอ้โฮ! เวลามันสงบระงับขึ้นมามันเกิดความมหัศจรรย์ เกิดความตื่นเต้น เกิดความมหัศจรรย์ในใจของตน นี่ไง ถ้ามันเกิดความมหัศจรรย์ในใจของตน มันมาจากไหนล่ะ นี่ไง มันก็มาจากหัวใจที่ดีงาม หัวใจ เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการนะ อนุปุพพิกถา เวลาคนทั่วๆ ไปเทศนาเรื่องทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เจอใครก็ “อริยสัจๆ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์”...ไม่ใช่

คนถ้ามีอำนาจวาสนา เวลาเทศนาว่าการแล้วเขาเข้าใจได้ แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาฟังแล้วไม่รู้เรื่อง ไปวัดอยากถูกรางวัลที่หนึ่งอย่างเดียว ใครไปวัดก็หวังรางวัลที่หนึ่งๆ แต่ใครไปวัดไม่เคยหวังสมาธิหวังปัญญาเลย เพราะว่าที่หนึ่งๆ มันก็คือเงิน มันก็คือลาภ ลาภที่ควรได้หรือไม่ควรได้

แต่ความเป็นจริง ความเป็นจริงของเรา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา เรื่องของทาน เรื่องของเนกขัมมะ เรื่องของพรหมจรรย์ แล้วถ้าจิตใจควรแก่การงานท่านถึงเทศน์อริยสัจ

แต่ผู้ที่มีอำนาจวาสนา พาหิยะ พาหิยะที่ไปฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวถึงเป็นพระอรหันต์นั่นน่ะ เพราะเขาสร้างมาแต่หลายภพหลายชาติ เขาเสียสละ เขาภาวนาเสียสละชีวิตมา เขาตายเพราะการภาวนามาหลายภพหลายชาติ พอชาติสุดท้ายขึ้นมาจิตใจเขาพร้อม ถ้าจิตใจของคนที่พร้อมนะ ไปฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลย แต่คนที่เขาไม่สนใจนะ บุญก็เงินทองไง บุญก็ยศถาบรรดาศักดิ์ไง บุญก็ต้องคนอื่นยอมรับฉันไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่านั่นน่ะกองไฟ อำนาจเหมือนกองไฟ ดูแย่งชิงกันสิ วิ่งเข้าไปกอดกองไฟเหมือนแท่งเหล็กแดงๆ วิ่งเข้าไปกอด

แต่ถ้าคนที่มีบุญกุศลนะ บุญกุศล ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นกษัตริย์เป็นจักพรรดิมาหลายภพหลายชาติ เวลาคนที่เขามีบุญมีกุศลเขาเป็นกษัตริย์เป็นจักพรรดิ เขาทำความร่มเย็นให้กับสังคม เขาทำตามข้อเท็จจริงให้กับสังคม ไอ้นั่นเขาสร้างอำนาจวาสนาบารมี แต่ถ้าเข้าไปเพื่อหวังผลประโยชน์ๆ กองไฟทั้งนั้น แย่งชิงกันทั้งนั้น แล้วแย่งชิงกันทั้งนั้น นั่นพูดถึงทางโลกไง แต่ถ้ามีสมาธิไหม นี่ไง มาวัดมาวาเพื่อทำสมาธิไง

เขาแย่งชิงกัน เรานั่งมองนะ นั่นกระต่ายตื่นตูม เวลาลูกต้นตาลตกมานี่บอกฟ้าผ่า มันวิ่งกันเต็มไปเลยนะ ไอ้เราเห็นแล้วนะ เออ! เรามีความสงบมีความระงับ เราไม่ตื่นตูมไปกับเขา เห็นไหม ถ้ามีสมาธิ นี่ไง มันแตกต่างกันตรงนี้ไง มันแตกต่างจากคนที่เขาไปหายศถาบรรดาศักดิ์ หาต่างๆ ไง

แต่เรายอมรับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง นี่ไง ถ้าเป็นธรรมๆ มันต้องเกิดจากที่นี่ มันเกิดมาจากหัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่สุขสงบ หัวใจที่ระงับ ไม่ใช่เกิดจากความโลภ ความอยากได้ ความอยากใหญ่ ความก๊อบปี้การกระทำการเลียนแบบ แล้วก็ออกมาเป็นแบงก์ปลอม เป็นแบงก์ปลอม แบงก์ปลอมหาได้ง่ายๆ ไปซื้อก็ราคาถูก แต่แบงก์จริงมันทำได้ยาก นี่ถ้าพูดถึงมันเป็นธรรมๆ มันเป็นธรรมอย่างนี้ไง ถ้ามันเป็นธรรมอย่างนี้ นี่สัจธรรม สัจธรรมที่เราแสวงหากันอยู่นี้

ดูสิ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมาเรามีหน้าที่การงานของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา เรามีความเครียด เรามีความทุกข์ในหัวใจของเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา

ทั้งๆ ที่เราไม่มีสติปัญญาที่รู้เท่าทันมัน แต่สุดท้ายแล้วความทุกข์ที่มันทุกข์ทนขนาดไหนมันก็จางลง ทำให้เรามีสติสัมปชัญญะคิดของเราขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่เราไม่ปฏิบัติในตัวของมันเอง มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้เปลี่ยนแปลงเพื่อจะเกิดใหม่ เกิดดับๆ ตลอดไป เห็นไหม เกิดดับๆ ตลอดไป เกิดดับ เกิดดับที่มันรุนแรงมากขึ้นไง พอย้ำคิดย้ำทำถึงความทุกข์ของตนมากขึ้น ย้ำคิดย้ำทำถึงความทุกข์ของตนมากขึ้น ความทุกข์ของตนนั้นก็เหยียบย่ำเรารุนแรงมากขึ้น

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราจะเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรเทาทุกข์ๆ เห็นว่ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนั้น เป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนั้นด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้แหละ ธรรมชาติเพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราไปศึกษาๆ นั่นเป็นทรงจำธรรมวินัยไง ศึกษามาๆ เห็นไหม

นี่ไง เวลาแบงก์จริง แบงก์จริงก็เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ เราไปศึกษาๆ ขึ้นมา เวลาเราคิดขึ้นมาก็เป็นของปลอม ของปลอมทั้งนั้นเลย พอของปลอม ของปลอมขึ้นมา ความทุกข์เกิดดับ เกิดดับอยู่อย่างนั้น ความทุกข์เกิดดับๆ แต่เราใช้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพิจารณามันก็วางได้เป็นครั้งเป็นคราวไง แต่วางเฉยๆ มันไม่มีสัจธรรมเข้าไปชำระล้างไง มันไม่สำรอกมันไม่คาย มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาไง มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาเพราะเราทำด้วยไม่มีอำนาจวาสนาทำได้ตามความเป็นจริงไง

ถ้ามีอำนาจวาสนาทำได้ตามความจริง ถ้ามีอำนาจวาสนาทำได้ตามความจริงมันมีสัจจะมีความจริง ศีล สมาธิ ปัญญามันรักษาของมันอย่างเต็มที่ มันไม่ลูบๆ คลำๆ มันไม่ปล่อยปละละเลยไง แล้วปล่อยปละละเลย เห็นไหม ขี้บนหัวตนไม่เห็น เห็นแต่ขี้บนหัวคนอื่นไง นู่นก็ผิด นี่ก็ผิด นี่ก็ผิดๆ...แต่ขี้บนหัวมึงขาวโพลนไปเลย ใครๆ ก็เห็น แล้วเหม็นด้วย มันไม่เห็นน่ะ นี่ไง เพราะมันไม่มีวาสนาไง

ถ้ามีวาสนามันจะย้อนกลับมาที่เรา ย้อนกลับมาที่เรา ความผิดของเราๆ ถ้าความผิดของเรา เราก็แก้ไขของเรานะ นั่นมันความผิดของคนอื่นใช่ไหม ถ้าเป็นกรรม กรรมของคนอื่นเขาก็ทำของเขาเอง ใครทำกรรมอย่างไรก็รับกรรมของเขาไป

แต่ของเรา เราจะทำความดีของเรา ทำดีของเราเพราะเรารู้ของเรา เห็นไหม ขี้นกบนหัวขาวโพลน เราจะชะล้างที่นี่ ถ้ามันจะเหม็น มันก็เหม็นเพราะมันขี้รดหัวเรา วาสนาเราได้อย่างนี้มา เราก็จะชะจะล้างขี้บนหัวเราออกไป ถ้าชะล้างขี้บนหัวเราออกไป สิ่งนั้นถ้ามันกลิ่นเหม็นก็ออกจากตัวเราไป ความสกปรกก็จะออกจากตัวเราไปเป็นความจริงของเราขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาไง

ถ้าแบงก์จริงมันจะเกิดขึ้นได้ มันเกิดขึ้นจากการเราทำหน้าที่การงาน เราได้ผลประโยชน์สิ่งนั้นมา ไม่ใช่ไปพิมพ์แบงก์ ไปพิมพ์มาเลยนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นๆๆ แล้วมันก็อธิบายใหญ่เลย แล้วของเอ็งล่ะ เอ็งทำงานอะไรมา

ใครมีเงินก็แล้วแต่นะ ถ้าไม่ได้เสียภาษีถูกต้อง เดี๋ยวปปง.มาตรวจสอบ เอ็งทำอะไรมาถึงได้เงินนั้นมา ถ้าได้เงินนั้นมา นี่ไง เอ็งทำอะไรมา ทำนี่คือมรรคไง นี่ไง เราทำศีล สมาธิ ปัญญา แต่เราได้คุณธรรมไง ไม่ใช่เราไปเอาคุณธรรมมา

คุณธรรมเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อริยสัจนะ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าใครทำมา ทำมาแล้ว กุปปธรรม อกุปปธรรม กุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวะสมมุติโลก นี่ธรรมะเป็นอนัตตา เออ! มันก็เป็นอนัตตา ดูสิ พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก มันก็เป็นอนัตตา...อันนี้มันเป็นสภาวะโลก มันไม่ใช่สภาวธรรม ถ้าสภาวธรรม อนัตตา อนัตตาอย่างไร ใครเป็นคนอนัตตา ใครเป็นคนรื้อค้นขึ้นมา

ถ้ามันเป็นความจริงๆ อนัตตามันเกิดในใจ มันเกิดจากอริยสัจ เกิดจากการกระทำ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรค ๘ สิ่งที่เกิดขึ้น สัจธรรมเกิดขึ้นในหัวใจอันนั้นมันถึงเป็นความจริงอันนั้นไง ถ้าทำความจริงอันนั้นขึ้นมา มันถึงกุปปธรรม อกุปปธรรมไง

ถ้าเป็นอกุปปธรรมที่มันไม่เสื่อมสภาพไง อกุปปธรรม อฐานะไม่มีความเปลี่ยนแปลง คงที่ตายตัวเป็นอย่างไร ไม่รู้ ไม่รู้ พูดบ้าบอคอแตกกันไป นี่ไง ศาสนามันเสื่อมถอยๆ มันเสื่อมถอยออกไป

เวลาเขาว่าพระพุทธรูปบังธรรม ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ประเพณีวัฒนธรรม พิธีการปฏิบัติบังธรรม แล้วเอามาแอบอ้างกัน แอบอ้างแล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา นี่พูดถึงว่า นี่เราจะพูดถึงความมั่นคงของศาสนา ความมั่นคงนะ ภาษาเราเลย เราเสียดายมาก เสียดายว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาศึกษาประวัติของท่าน ท่านทุ่มเททั้งชีวิต ท่านสละชีวิตของท่านมาทั้งหมด ครูบาอาจารย์ของเราท่านสละชีวิตของท่านมา แล้วสิ่งที่สัจจะความจริงอันนี้พวกเรามาลูบคลำกันเล่นๆ มาทำกันเป็นไก่ได้พลอย ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ประกาศขายกิตติศัพท์กิตติคุณของครูบาอาจารย์ พยายามประกาศขายๆ เสียดาย เสียดายตรงนี้ เสียดายมาก แต่มันเสียดายมากมันก็เป็นวาสนาของคนเนาะ

ถ้าคนจริงเขาก็เห็นความจริงอันนั้นเป็นคุณค่า คนไม่จริงมันเห็นชื่อเสียง เห็นยศถาบรรดาศักดิ์ เห็นเงินเห็นทองเป็นของมีค่า มันไม่รู้จักว่าคุณธรรมเป็นอย่างไรหรอก ไอ้พวกไก่ได้พลอย ลิงได้แก้ว มันไม่รู้จัก แล้วมันหาไม่เจอด้วย หาไม่ได้ด้วย หาไม่เป็นด้วย มันถึงไม่เห็นคุณค่าของความจริง เอวัง